การติดตั้งเครื่องจักรโรงงานให้สามารถดำเนินงานได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด ต้องมีการตรวจสอบ ประเมิน และปรับปรุงในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นอะไหล่ที่ใช้ประกอบ ประเภทเชื้อเพลิง จุดประสงค์การใช้งาน หรืออื่นๆ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง ซึ่งในการติดตั้งและบำรุงรักษานั้นมีเรื่องของ “การตั้งศูนย์เพลา (Shaft Alignment)” ที่ต้องใส่ใจไม่น้อยไปกว่าด้านอื่นๆ เลย
การตั้งศูนย์เพลาในเครื่องจักรโรงงานอุตสาหกรรม คือ การตั้งศูนย์การหมุน (Center of Rotation) ของเพลาทั้งฝั่งขับและฝั่งถูกขับให้อยู่ในตำแหน่งที่ตรงกัน เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต ไม่ว่าจะเป็นเครื่องกลึง เครื่องกัด เครื่องไส หรืออื่นๆ มักจะทำงานโดยใช้กำลังส่งจากเพลาที่รองรับด้วยลูกปืน โดยมีเฟืองเป็นตัวส่งกำลังจากเพลาหนึ่งไปยังอีกเพลาหนึ่ง พูดให้เข้าใจง่ายๆ ว่าเพลา (Shaft) คือส่วนสำคัญในการเดินเครื่องจักรที่ขาดไปไม่ได้นั่นเอง
นอกเหนือจากนั้น การตั้งศูนย์เพลาต้องทำในขณะที่เครื่องจักรหยุดนิ่ง เพื่อกำหนดค่าการเยื้องศูนย์ที่ถูกต้อง ซึ่งอาจใช้อุปกรณ์ตั้งศูนย์เพลาอย่างไดอัลเกจ (Dial Gauge) ซึ่งช่างซ่อมก็จำเป็นต้องฝึกฝนใช้งานจนเกิดความเชี่ยวชาญเสียก่อน อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดปัญหา Bar Sag ที่ส่งผลให้อ่านค่าผิดไปจากเดิม ในปัจจุบันนี้จึงมีการพัฒนาเครื่องตั้งศูนย์เพลาด้วยเลเซอร์ที่ใช้งานสะดวก แม่นยำ และรวดเร็ว ช่วยลดระยะเวลาในการซ่อมบำรุงอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เพลา หรือ Shaft คืออะไหล่ที่แสนสำคัญของเครื่องจักร เพราะมีหน้าที่ทำงานสัมพันธ์กันกับการทำงานของเฟือง เพลาในเครื่องจักรส่วนมากจึงถูกออกแบบให้มีความแข็งแรงกว่าส่วนอื่นๆ อย่างไรก็ตามจุดที่มักพบปัญหาบ่อยๆ ได้แก่
ช่างซ่อมบำรุงและผู้เชี่ยวชาญคงทราบดีว่าการตั้งศูนย์เพลาให้ถูกต้องนั้นสำคัญมาก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการปรับตั้งตำแหน่ง Shaft Alignment คลาดเคลื่อน หรือมีค่าพิกัดเกินมาตรฐานกำหนด ซึ่งสามารถส่งผลให้เกิดปัญหา เช่น การเยื้องศูนย์ของเพลาไม่ตรงกันที่ได้ระบุไปข้างต้น โดยเมื่อศูนย์เกิดเยื้อง รับภาระแรงกดหรือ Strain มากจนเกินไปก็จะถูกกระจายไปยังชิ้นส่วนอื่นๆ อย่างซีลและคลับลูกปืนจนเสียหาย ทำให้เครื่องจักรมีค่าแรงสั่นสะเทือน (Vibration) สูงกว่าปกติจนเกิดความร้อนสะสม และนำไปสู่การ Breakdown ของเครื่องจักรในที่สุด
แน่นอนว่าเมื่อเครื่องจักรหยุดทำงานอย่างกะทันหัน กระบวนการผลิตก็ต้องหยุดชะงักไปด้วย ทำให้อัตราการผลิตลดลง ส่งผลกระทบทางด้านเงินทุนและธุรกิจโรงงานได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะเมื่ออยู่ท่ามกลางภาวะที่การแข่งขันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เห็นได้ว่าการวางแผนซ่อมบำรุงตั้งศูนย์เพลาและลงทุนซื้อเครื่องมือตั้งศูนย์เพลาที่ได้คุณภาพ ถือว่าเป็นเครื่องป้องกันที่ดีและช่วยเซฟโรงงานจากเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้
เพราะเครื่องตั้งศูนย์เพลาด้วยเลเซอร์คือเครื่องมือสำคัญในการบำรุงรักษาเครื่องจักรโรงงาน ที่ PAT (P&A Technology) พร้อมจำหน่ายเครื่องมือตั้งศูนย์เพลาคุณภาพสูงจากแบรนด์ Easy-Laser เช่น XT440 - Line Laser ที่เหมาะสำหรับทุกขั้นตอนการตั้งศูนย์เพลา หรือจะเป็น XT660 - Dot Laser สำหรับตั้งศูนย์เพลาเครื่องจักรขนาดใหญ่ด้วยความแม่นยำสูง
โดยเครื่องตั้งศูนย์เพลาด้วยเลเซอร์มาพร้อมกับฟังก์ชันการทำงานแบบไร้สาย (Wireless) ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับ Smart Phone หรือ Tablet ต่างๆ ได้อีกด้วย ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบาและใช้งานง่าย เพิ่มความสะดวกสบายในการทำงานของวิศวกรและช่างซ่อมบำรุง ธุรกิจโรงงานสามารถดำเนินกระบวนการผลิตได้แบบหมดกังวลเลยทีเดียว
นอกจากนี้ เรายังจำหน่ายอุปกรณ์ด้านวิศวกรรมอื่นๆ อย่างครบวงจร พร้อมบริการให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากกว่า 25 ปี เพื่อตอบสนองความต้องการต่างๆ ของลูกค้าในด้านวิศวกรรมอย่างครบวงจร
ติดต่อสอบถาม สั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทาง
โทร.: 02-454-2478
Email: info@pat.co.th
LINE OA: https://lin.ee/4FaAArm0d
ติดตามข่าวสารและโปรโมชันใหม่ๆ จากเราก่อนใคร
Facebook: P&A Technology Company Limited
Instagram: pandatech_official
สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม “เครื่องจักร” คือ หนึ่งในหัวใจหลักของการดำเนินงานการผลิตต่างๆ แน่นอนว่าเมื่อมีการใช้งานอย่างต่อเนื่อง เครื่องจักรเหล่านี้มักเสื่อมสภาพและต้องถูกซ่อมบำรุงเป็นธรรมดา แต่บางครั้งอาการที่บ่งบอกถึงภาวะของเครื่องจักรก็ไม่ชัดเจนมากนัก อย่างการสั่นสะเทือน ที่มักถูกมองข้ามไปได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้อุปกรณ์อย่างเครื่องวัดความสั่นสะเทือน จึงเป็นหนึ่งอุปกรณ์ที่ทุกโรงงานควรมีเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ก่อนซื้อเครื่องวัดความสั่นสะเทือน ควรที่จะศึกษาและเลือกให้ดีเสียก่อน เพื่อประสิทธิภาพในการวัดค่าที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ
ทำไมต้องวัดการสั่นสะเทือน? การเลือกซื้อเครื่องวัดความสั่นสะเทือนควรพิจารณาปัจจัยใดบ้าง? PAT จะมาแนะนำให้ทราบ พร้อมพามาทำความรู้จักเครื่องวัดความสั่นสะเทือนคุณภาพสูงระดับสากลจากแบรนด์ SPM
โดยทั่วไป การเดินเครื่องจักรขนาดใหญ่ในโรงงานผลิตก็มักจะเกิดการสั่นสะเทือนจากการทำงานเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม เมื่อความสั่นสะเทือนของเครื่องจักรเกิดเปลี่ยนแปลงหรือสั่นสะเทือนผิดรุนแรงปกติ นั่นอาจหมายความว่าเครื่องจักรกำลังมีปัญหา อย่างเช่น เฟืองชำรุด ชิ้นส่วนหลุดหลวมหรือผิดรูปเนื่องจากใช้งานมานาน การจัดแนว (Alignment) ที่ไม่ดี แบริ่งหรือตลับลูกปืนสึกหรอ เป็นต้น
ดังนั้น การมีเครื่องวัดความสั่นสะเทือนสามารถบ่งบอกถึงสภาพของเครื่องจักรได้ เพื่อให้ทราบถึงปัญหาอย่างรวดเร็วผ่านข้อมูลตัวเลขจากการวิเคราะห์ของเครื่องวัด โรงงานสามารถวางแผนการซ่อมแซมได้ล่วงหน้า ดำเนินการซ่อมบำรุงอย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุด ให้เครื่องจักรเป็นไปตามมาตรฐานการสั่นสะเทือน (ISO 2372:1974) ป้องกันไม่ให้เครื่องจักรเกิดการ Breakdown และเกิดค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น อาทิ ค่าอะไหล่ ค่าแรงทีมงานช่างซ่อม หรือขาดรายได้ในช่วง Shutdown เพื่อซ่อมบำรุงนั่นเอง
โดยสามารถสรุปข้อดีของเครื่องวัดความสั่นสะเทือน ดังนี้
เห็นได้ชัดเจนว่าเครื่องวัดความสั่นสะเทือนนั้นเป็นอุปกรณ์สำคัญในการซ่อมบำรุงเครื่องจักรภายในโรงงานที่ขาดไปไม่ได้เลย ฉะนั้นมาดูกันเลยว่าควรจะเลือกซื้ออุปกรณ์ชิ้นนี้อย่างไรให้คุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด
ปัจจุบันมีผู้ผลิตหลายรายจัดจำหน่ายเครื่องวัดความสั่นสะเทือนออกมาหลายรุ่น ซึ่งแต่ละแบบก็มีคุณสมบัติและราคาที่แตกต่างกันไป สำหรับธุรกิจโรงงาน ก็ควรเลือกเครื่องวัดความสั่นสะเทือนที่เหมาะสมกับเครื่องจักรและฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งานตรงจุดที่สุด โดยสามารถพิจารณาจากปัจจัยเบื้องต้น ดังนี้
หน่วยการวัดความสั่นสะเทือนถูกแบ่งออกเป็น 3 หน่วย ขึ้นอยู่กับเครื่องจักร ได้แก่
ให้สังเกตว่าเครื่องจักรภายในโรงงานนั้นทำงานในช่วงความถี่หรือความเร็วรอบในระดับไหน แล้วเครื่องวัดความสั่นสะเทือนนั้นๆ สามารถวัดค่าความสั่นสะเทือนรูปแบบไหนและครอบคลุมช่วงความถี่ใดบ้าง
ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้เครื่องวัดความสั่นสะเทือนรุ่นใหม่ๆ นั้นมักมาพร้อมกับฟังก์ชันเสริมต่างๆ เช่น การแสดงผลบนหน้าจอดิจิทัล เซนเซอร์วัดความสั่นสะเทือนและฐานรองแม่เหล็ก การบันทึกข้อมูลลงบน SD Card สำหรับตรวจสอบในภายหลัง เลือกโหมดหน่วยวัดได้หลากหลาย พอร์ตเชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
หากมองว่าฟังก์ชันไหนที่เหมาะสมหรือสามารถตอบสนองความต้องการของโรงงาน ก็ควรเก็บไว้เป็นข้อพิจารณา นอกจากนี้ ยิ่งมีฟังก์ชันหรือเทคโนโลยีมากเท่าไหร่ เครื่องวัดความสั่นสะเทือนยิ่งมีราคาสูงขึ้นเท่านั้น จึงต้องพิจารณาเรื่องของงบประมาณด้วย
ปัจจุบันนี้มีหลากหลายแบรนด์ที่ผลิตเครื่องวัดความสั่นสะเทือนออกมาแข่งขันกันในหลายระดับคุณภาพและราคา โดยอาจเริ่มต้นตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน ดังนั้นธุรกิจโรงงานควรทำการศึกษาแบรนด์ต่างๆ ให้รอบคอบเสียก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพจริง มีการรับประกัน รวมไปถึงบริการหลังการขายในกรณีที่เกิดปัญหากับอุปกรณ์ หรือปัญหาในการใช้งาน อีกทั้งตัวแทนจำหน่ายต้องได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ มีเอกสารยืนยันชัดเจนและสามารถตรวจสอบได้
นอกจากปัจจัยหลักๆ ทั้ง 3 ข้อนี้แล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่ควรพิจารณาด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานการผลิต ความสะดวกในการใช้งาน ความสามารถในการเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูล เป็นต้น
บริษัท PAT (P&A Technology) คือตัวแทนจัดจำหน่ายเครื่องวัดความสั่นสะเทือนจากแบรนด์ SPM (SPM Instrument) อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นแบรนด์เดียวในโลกที่มีการวิเคราะห์ “Shock Pulse” สามารถตรวจจับสัญญาณความผิดปกติของ Bearing และ Gearbox ในเครื่องจักรรอบต่ำได้ดีกว่าการอาศัยสัญญาณการสั่นสะเทือนทั่วไป โดยมีรุ่นที่แนะนำ 2 รุ่นหลัก คือ
เครื่องวัดความสั่นสะเทือนรุ่น Flagship ของ SPM เป็นเครื่องแบบพกพาสำหรับวัดค่าความสั่นสะเทือนของเครื่องจักรที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีครบครันและคุณสมบัติการใช้งานที่ทนทานกว่า เหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานเคมี เหมืองแร่ โรงงานผลิตไฟฟ้า โรงงานผลิตเหล็ก และอื่นๆ ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษมากมาย เช่น
เครื่องวัดความสั่นสะเทือนอีกหนึ่งรุ่นจาก SPM ซึ่งเป็นเครื่องวัดค่าความสั่นสะเทือนแบบพกพา มีขนาดกะทัดรัด ใช้งานได้ในทุกอุตสาหกรรม ตอบโจทย์วิศวกรและช่างเทคนิคได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นในสภาพแวดล้อมที่สมบุกสมบันแค่ไหนก็ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ มาพร้อมคุณสมบัติโดดเด่นมากมาย อาทิ
เครื่องวัดความสั่นสะเทือนทั้ง 2 รุ่นนี้มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 300,000 - 400,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับฟังชั่นที่ทางลูกค้าต้องการ
หากสนใจสามารถติดต่อสอบถาม หรือ สั่งซื้อสินค้าผ่านช่างทางต่างๆ
โทร.: 02-454-2478
Email: info@pat.co.th
LINE OA: https://lin.ee/4FaAArm0d
ติดตามข่าวสารและโปรโมชันใหม่ๆ จากเราก่อนใคร
Facebook: P&A Technology Company Limited
Instagram: pandatech_official
ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรม หนึ่งในปัญหาที่เป็นเรื่องกวนใจมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “งานซ่อมบำรุง” เพราะถือเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางความเป็นไปของกระบวนการผลิตของโรงงานเลยก็ว่าได้ เนื่องจากในงานผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่แล้ว ต้องพึ่งพาเครื่องจักรจำนวนมาก ทำให้ฝ่ายผลิตในโรงงานส่วนใหญ่ จำเป็นต้องมีการวางแผนการผลิต หรือควบคุมปริมาณการผลิตให้เป็นไปตามแผนที่ได้วางตามกรอบเวลาเอาไว้ ทำให้หากวันใดวันหนึ่งมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น อย่างปัญหาเครื่องจักรผิดปกติ เกิดการชำรุด เสียหาย ฯลฯ ย่อมส่งผลกระทบอย่างมหาศาลโดยตรงต่อโรงงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ดังนั้นในบทความนี้จะขอพาทุกคนมารู้จักกับวิธีการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ หรือที่หลายคนมักจะเรียกกันติดปากว่า PdM ว่าคืออะไร? และมีความสำคัญต่อแนวทางการบำรุงรักษาเครื่องจักรอย่างไร? และปัญหาที่หลายๆ โรงงานเจอเป็นประจำอย่างการสั่นสะเทือนของเครื่องจักรที่ส่งผลต่อการชำรุดในระยะยาว มีวิธีตรวจสอบอย่างไร ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย
การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ หรือ PdM เป็นเทคนิคงานซ่อมเชิงวิศวกรรม ที่อาศัยการตรวจสอบวางแผนงานซ่อมบำรุงให้เหมาะสม เพื่อที่จะกำหนดแผนงานตามเวลาในการเข้าไปทำการบำรุงรักษาก่อนที่เครื่องจักรจะเกิดอาการ Breakdown โดยในการตรวจสอบปัญหาของเครื่องจักรนั้น จะต้องมีการใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อช่วยให้สามารถคาดเดาปัญหาของเครื่องจักร และระยะเวลาการเสื่อมสภาพได้ ทำให้ผลลัพธ์ของการบำรุงรักษาเป็นไปตามกรอบเวลา งบประมาณ ช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนเกินให้กับโรงงานได้ในระยะยาว ทำให้เครื่องจักรสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
อย่างที่เกริ่นไปในข้างต้นแล้วว่าการบำรุงรักษาแบบ PdM สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการตรวจสอบปัญหาต่างๆ ของเครื่องจักรได้หลากหลาย โดยพื้นฐานแล้วเทคนิคการซ่อมบำรุงแบบแบบ PdM มีดังนี้
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเครื่องจักรหรือมอเตอร์ในโรงงานอุตสาหกรรมทุกชนิด จะมีค่าความสั่นที่บ่งบอกถึงสภาพของเครื่องจักรอยู่ หากสูงเกินไปหรือน้อยเกินไป นั่นหมายถึงอาจมีความผิดปกติเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอะไหล่หรือชิ้นส่วนบางอย่างเสียหาย โครงสร้างแตกร้าว จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบและบำรุงรักษาให้ทันท่วงที ดังนั้นเครื่องวัดความสั่นสะเทือนจึงเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่เหมาะสำหรับการใช้งานเพื่อตรวจสอบปัญหาอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถวางแผนการซ่อมบำรุงได้ล่วงหน้า มีประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
สำหรับใครที่สงสัยว่าแล้วเครื่องวัดความสั่นสะเทือน ทำงานอย่างไร? โดยพื้นฐานแล้วหลักการทำงานของเครื่องมือวัดความสั่นสะเทือนจะถูกนำมาใช้ในการวัดความสั่นสะเทือนของเครื่องจักรหมุน (Rotating Machine) เพื่อตรวจสอบว่าการ “แกว่ง” หรือ “หมุน” ของเครื่องจักรมีความสมดุลมากพอหรือไม่ โดยอาศัยเครื่องวัดความสั่นสะเทือนในการเก็บสัญญาณของเครื่องจักรเพื่อนำมาวิเคราะห์หาสัญญาณความผิดปกติต่างๆ
ส่วนใหญ่แล้ว หากพบปัญหาของการสั่นสะเทือนของเครื่องจักร มักเกิดจากความผิดปกติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
ปัญหาของเครื่องจักรเหล่านี้ หากปล่อยทิ้งไว้หรือขาดการซ่อมบำรุงอย่างถูกวิธี ก็จะส่งผลให้เครื่องจักรชำรุด เสียหาย หรือมากไปกว่านั้นคือเครื่องจักรอาจจะไม่สามารถนำกลับมาใช้งานได้ดังเดิม ส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินจำเป็น
เพื่อให้แน่ใจว่ามีการเตรียมการรับมือกับปัญหาเครื่องจักรอย่างรอบคอบ การมองหาเครื่องวัดความสั่นสะเทือน ราคาเป็นมิตร มีคุณภาพตามมาตรฐาน และตอบโจทย์งานวิศวกรซ่อมบำรุงและช่างเทคนิคได้อย่างดีเยี่ยม ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ห้ามปล่อยปละละเลยเป็นอันขาด หากใครสนใจสามารถเข้ามาสอบถามพูดคุยและรับคำปรึกษากับ P&A Technology ได้ที่
ติดต่อสอบถาม สั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทาง
โทร.: 02-454-2478
Email: info@pat.co.th
LINE OA: https://lin.ee/4FaAArm0d
ติดตามข่าวสารและโปรโมชันใหม่ๆ จากเราก่อนใคร
Facebook: P&A Technology Company Limited
Instagram: pandatech_official
เรื่องของรอยรั่วของระบบอัดอากาศถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในขั้นตอนการบำรุงรักษาเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม เรียกได้ว่าเป็นปัญหาคลาสสิกที่ผู้ประกอบการโรงงานส่วนใหญ่จะต้องพบเจอกันเป็นประจำอย่าง ปัญหาการเกิดรอยรั่วในระบบอัดอากาศ (Air/Gas Leak) ที่อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงสภาพของเครื่องจักรที่ถึงเวลาซ่อมบำรุง หรือในบางครั้งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีโอกาสที่ทำให้โรงงานเกิดข้อพิพาททางกฎหมายเกี่ยวกับปัญหาของการรบกวนผู้คนในชุมชนโดยรอบ ขอบอกเลยว่าถ้าถึงขนาดต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเมื่อไหร่ ปัญหาอีกมากมายจะต้องตามมาอย่างแน่นอน
ดังนั้น เรื่องของการหมั่นตรวจสอบรอยรั่วระบบอัดอากาศของเครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอจึงควรเป็น First Priority ของโรงงาน โดยส่วนใหญ่แล้วการตรวจสอบรอยรั่วระบบอัดอากาศของเครื่องจักรในโรงงานมักนิยมใช้งาน กล้องตรวจวัดเสียง หรือ Acoustic camera ไว้คอยระบุตำแหน่งที่มีอากาศหรือก๊าซรั่วไหล เพื่อเตรียมพร้อมในการประเมินผลกระทบในการบำรุงรักษาเครื่องจักรอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้งานกล้อง Acoustic camera เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ P&A จะพามารู้จักปัญหาการรั่วไหลของระบบอัดอากาศให้มากขึ้น ที่ขอเตือนเอาไว้เลยว่าถ้าไม่ระวังให้ดีอาจนำไปสู่ความสูญเสียของโรงงานที่ประเมินไม่ได้เลยทีเดียว ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย
หนึ่งในสิ่งที่น่ารำคาญใจของผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ คงหนีไม่พ้นปัญหาการรั่วไหลของระบบอัดอากาศตามเครื่องอัดอากาศ ท่อ วาล์ว ที่มองเผินๆ อาจจะดูไม่ใช่เรื่องร้ายแรงแต่ก็คล้ายกับอาการเวลาโดนมดกัดที่ถ้าหากโดนหลายจุดพร้อมๆ กัน ก็ต้องมีสะดุ้งกันบ้างไม่มากก็น้อย จากงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ ได้ระบุว่าค่าเฉลี่ยของอัตราการรั่วไหลในระบบอัดอากาศของโรงงานจะอยู่ที่ประมาณ 25% แต่อาจมีโรงงานบางแห่งที่ประสบปัญหานี้สูงถึง 80% เลยทีเดียว และหากขาดการเตรียมพร้อมรับมือและแก้ไขให้ทันท่วงที การรั่วไหลเหล่านี้ก็อาจนำไปสู่เหตุการณ์ร้ายแรงที่ก่อให้เกิดความเสียหายและค่าใช้จ่ายบานปลายจนทำให้โรงงานต้องขาดทุน ส่งผลให้ต้องหยุดกระบวนการผลิตแบบกะทันหัน ไปจนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติงาน สิ่งแวดล้อม และชุมชนโดยรอบ
การรั่วไหลดังกล่าว โดยส่วนใหญ่จะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ การรั่วตรงและการรั่วซึม ซึ่งโรงงานอุตสาหกรรมสามารถพบกับการรั่วไหลได้ทั้งสองรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่มักจะเจอกับปัญหาการรั่วซึมมากกว่า เนื่องจากการรั่วซึมนั้นสังเกตได้ยาก มีเสียงเบา ทำให้มักถูกละเลยเพราะคิดว่าสูญเสียพลังงานไปไม่มาก ส่วนการรั่วตรงมักจะพบที่จุดควบคุมนิวเมติกส์ (Pneumatic) เช่น การรั่วไหลของวาล์วควบคุม หรือชุดปรับลดแรงดัน
การรั่วในระบบลมหรือปั๊มลม (Air Compressor) มักมีสาเหตุมาจาก
สำหรับใครที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลเชิงเทคนิคในโรงงานอุตสาหกรรม คงพอจะทราบกันดีว่าเรื่องของอากาศอัด (Compressed Air) เป็นหนึ่งในระบบที่ต้องใช้พลังงานมากที่สุดอย่างหนึ่งในโรงงานอุตสาหกรรม และหากเกิดเหตุการณ์อย่างการรั่วของอากาศอัดขึ้นในระบบเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่าโรงงานย่อมสูญเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ ในชนิดที่ว่าทำเอาเจ้าของโรงงานต้องกุมขมับอย่างแน่นอน โดยมีงานวิจัยจากประเทศเยอรมันพบว่า การเกิดลมรั่วขึ้นกับรูรั่วที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 1 มม. ภายในระยะเวลา 1 ปี จะต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการผลิตลมโดยไม่เกิดประโยชน์ไปถึง 270 ยูโร หรือจากข้อมูลของกระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกาที่ระบุว่า รอยรั่วของอากาศอัดขนาด ⅛ นิ้ว หรือประมาณ 3 มม. เพียงแค่จุดเดียวสามารถสร้างความเสียหายสูงถึง 2,500 ดอลลาร์ต่อปี ลองคิดดูว่าในกรณีที่โรงงานมีลมรั่ว 10 จุด และแต่ละจุดเป็นรูรั่วขนาด 3 มม. ภายในระยะเวลา 1 ปี จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับค่าไฟฟ้าที่สูงมากเกินความจำเป็นไปเป็นจำนวนเงินที่มากขนาดไหน
สำหรับวิธีแก้ปัญหาลมรั่วในระบบอัดอากาศนี้ สามารถทำได้โดยอาศัยเครื่องมืออย่างกล้อง Acoustic camera เพื่อทำการตรวจวัด เพราะโดยหลักการของการเกิดลมรั่วนั้นเกิดจากอากาศที่ไหลผ่านรูรั่วและจะเกิดคลื่นความถี่เสียงอัลตราโซนิก (Ultrasonic Sound) ด้วยคลื่นความถี่หูของคนเราไม่สามารถได้ยินหรือรับฟังคลื่นความถี่นี้ได้ และโดยพื้นฐานแล้วการตรวจสอบการรั่วไหลในระบบอัดอากาศจะต้องพิจารณาทั้ง 4 ส่วนของระบบ ได้แก่
ก็จบไปแล้วสำหรับความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับปัญหาการรั่วไหลของระบบอัดอากาศ ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมหรือใครที่อยู่ในสายงานที่เกี่ยวข้อง ที่ก่อนหน้านี้คิดว่าปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กๆ แต่อย่างที่บอกไปข้างต้นแล้วว่าหากปล่อยเอาไว้ ผลที่ตามมาไม่เล็กอย่างที่คิดแน่นอน และยังส่งผลกระทบในระยะยาวอีกด้วย การหมั่นสังเกต ตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการซ่อมบำรุงหรือการใช้กล้อง Acoustic camera เพื่อช่วยในการหาสาเหตุของการรั่วไหล ก็จะทำให้เกิดการวางแผนการซ่อมแซมได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
บริษัท PAT (P&A Technology) คือ ตัวแทนจัดจำหน่ายกล้องตรวจวัดเสียงจากแบรนด์ SoundCam อย่างเป็นทางการ โดยเป็นกล้องถ่ายภาพเสียงตั้งแต่ความถี่ต่ำจนไปถึงอัลตราซาวด์เครื่องแรกของโลก สามารถประมวลผลจากเสียงในรูปแบบต่างๆ และยังสามารถแปลงข้อมูลจากเสียงที่ได้ยินให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถนำไปประมวลผลต่อได้ โดยมีการแสดงผลผ่านจอแสดงผลแบบเรียลไทม์ อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ครอบคลุมทุกความต้องการในการระบุตำแหน่งของแหล่งกำเนิดเสียง
โดยที่ P&A เรามีกล้อง Acoustic Camera ราคาเป็นมิตร และผ่านมาตรฐานระดับโลก มาแนะนำ
กล้องวัดระดับเสียง SoundCam Ultra เป็นอุปกรณ์วัดระดับเสียงขนาดพกพา ใช้งานง่าย มาพร้อมจอแสดงผลในตัว สามารถวัดระดับเสียงคลื่นความถี่สูงสุดถึง 100 kHz (Ultra High Frequencies) สามารถใช้ในการระบุปัญหาการรั่วไหลในท่อแรงดันและการรั่วของท่อสุญญากาศ โดยใช้ซอฟต์แวร์ SoundCam ในการประมวลผล นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติพิเศษอีกมากมาย อาทิ
ติดต่อสอบถาม สั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทาง
โทร.: 02-454-2478
Email: info@pat.co.th
LINE OA: https://lin.ee/4FaAArm0d
ติดตามข่าวสารและโปรโมชันใหม่ๆ จากเราก่อนใคร
Facebook: P&A Technology Company Limited
Instagram: pandatech_official
เครื่องจักรแทบทุกชนิดที่ใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม สามารถสร้าง “แรงสั่นสะเทือน” โดยเป็นผลมาจากการเดินเครื่อง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่เกิดขึ้นได้เป็นประจำ แต่เชื่อว่าเจ้าของโรงงาน ธุรกิจ และผู้ปฏิบัติงานคงทราบกันดีอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเครื่องจักรเกิดการสั่นสะเทือนมาก เป็นจังหวะผิดปกติ เสียงสั่นดัง หรือเกิดความร้อน นั่นอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเครื่องจักรมีการทำงานที่ผิดแปลกไป ส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตลดลง จึงต้องมีการตรวจสอบสภาพ วิเคราะห์ และซ่อมบำรุง โดยอาศัยเครื่องมืออย่าง “เครื่องวัดความสั่นสะเทือน” ที่ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการดูแลบำรุงรักษาเครื่องจักร
เครื่องวัดความสั่นสะเทือนคืออะไร? มีหลักการทำงานอย่างไรบ้าง? เป็นประโยชน์ต่อโรงงานและธุรกิจมากน้อยเพียงไหน? มาหาคำตอบไปพร้อมกับ PAT ในบทความนี้
เครื่องวัดความสั่นสะเทือนคืออะไร?
เครื่องวัดความสั่นสะเทือน หรือ Vibration Analyzer คือ เครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์และตรวจสอบการสั่นของวัตถุ ซึ่งเป็นการตรวจสอบการตอบสนองของวัตถุหรือเครื่องจักรให้เป็นไปตามมาตรฐานการสั่นสะเทือน (ISO 2372:1974) เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องจักรนั้นๆ สามารถดำเนินงานได้เต็มประสิทธิภาพ และไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น
โดยทั่วไป การวัดแรงสั่นสะเทือนนั้นจะวิเคราะห์จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
คือ การวัดการสั่นในแต่ละรอบว่ามีระยะเคลื่อนที่ไปมากแค่ไหนจากจุดอ้างอิงแรก โดยเป็นการวัดแบบ “เต็มคลื่น (Peak To Peak)” ซึ่งนิยมใช้หน่วยวัดเป็น “มิลลิเมตร (mm) หรือ นิ้ว (inch)” โดยการวัด Displacement มักจะใช้วัดเครื่องจักรที่มีรอบต่ำ หรือไม่เกิน 1,200 รอบต่อนาที หรือมีระดับความถี่การสั่นสะเทือนไม่เกินกว่า 20 Hz
คือ การวัดความเร็วในแต่ละรอบการสั่นสะเทือน โดยจะเป็นการวัดแบบ RMS และนิยมใช้หน่วยวัดเป็น “มิลลิเมตรต่อวินาที (mm/s)” ปัจจัยการวัดแรงสั่นสะเทือนนี้สามารถใช้ได้กับเครื่องจักรที่มีความเร็วรอบมากกว่า 1,200 รอบต่อนาที และมีระดับความถี่การสั่นสะเทือนอยู่ระหว่าง 20 Hz ถึง 1,000 Hz
คือ การวัดอัตราความเร็วเครื่องจักรจากศูนย์ถึงจุดสูงสุดในแต่ละรอบการสั่นสะเทือน โดยมีหน่วยวัดเป็น “มิลลิเมตรต่อวินาทียกกำลังสอง (mm/s2)” ซึ่งใช้ในการวัดการสั่นสะเทือนความถี่สูงตั้งแต่ 10 kHz ขึ้นไปนั่นเอง
สาเหตุของการสั่นสะเทือนของเครื่องจักรมีหลากหลาย อาทิ ความไม่สมดุลของการหมุน การชำรุดของเฟือง ชิ้นส่วนเครื่องจักรหลุดหลวม เครื่องจักรเสื่อมสภาพจากการใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน ฯลฯ โดยระดับความรุนแรงของการสั่นสะเทือนของเครื่องจักรนั้นแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับปกติ ที่การสั่นสะเทือนอยู่ในเกณฑ์ปกติ ตามด้วย ระดับการสั่นสะเทือนผิดปกติ คือมีการสั่นที่สูงกว่าปกติ ต้องติดตามอาการและวางแผนซ่อมบำรุงอย่างใกล้ชิด และสุดท้ายคือ ระดับอันตราย เป็นระดับที่ควรหยุดการผลิตก่อนเครื่องจักรจะเกิด Breakdown เพื่อเร่งแก้ไขโดยด่วน
หลักการทํางานเครื่องวัดความสั่นสะเทือนเป็นอย่างไร?
ในหลักการทํางานเครื่องวัดความสั่นสะเทือนนั้น อันดับแรกต้องพิจารณาจาก “จุดการสั่นสะเทือน” ประกอบกับ “ลักษณะโครงสร้างของเครื่องจักร” โดยตำแหน่งที่วัดนั้นต้องเข้าถึงได้และมีความปลอดภัยด้วย สำหรับในจุดการวัดที่เหมาะสมคือจุดเกิดการสั่นสะเทือนมากที่สุดหรือเป็นจุดที่ใกล้ที่สุด อาทิ แบริ่ง ตลับลูกปืน หรือจุดที่รับภาระ (Load) มากที่สุด เป็นต้น
นอกจากนี้ ควรมีการวัดความสั่นสะเทือนตามแนวแกนต่างๆ ด้วย ทั้งแนวดิ่ง (Vertical), แนวนอน (Horizontal) และ แนวแกนเพลา (Axial) โดยแต่ละแกนจะบ่งบอกถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเครื่องจักรได้อย่างละเอียดมากขึ้นนั่นเอง
ประโยชน์ของเครื่องวัดความสั่นสะเทือนต่อธุรกิจและโรงงาน
แน่นอนว่าธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตมีการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรองรับความต้องการของตลาด ทำให้การผลิตสินค้าเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และการใช้งานต่อเนื่องโดยขาดการดูแลนี้เองที่อาจทำให้เครื่องจักรเสียหาย (Breakdown) ทำให้การผลิตหยุดชะงัก ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามออเดอร์ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อพนักงานโรงงานอีกด้วย ซึ่งการตรวจสภาพเครื่องจักรโดยใช้เครื่องวัดความสั่นสะเทือนนั้นสามารถใช้ประโยชน์ ดังนี้
การวัดค่าการสั่นสะเทือนผ่านเครื่องวัดความสั่นสะเทือนนั้นสามารถทำได้สะดวกรวดเร็ว เพียงติดตั้ง Vibration Transmitter และ Transducer กับเครื่องจักร และดำเนินการวัดค่าผ่านตัวเครื่องเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องติดตั้งเครื่องมืออะไรเพิ่มเติม หรือหยุดการเดินเครื่องจักรเพื่อตรวจสอบ
เมื่อใช้เครื่องวัดความสั่นสะเทือนกับเครื่องจักร โดยเฉพาะเครื่องรุ่นใหม่ที่มีการบันทึกค่าความสั่นสะเทือน, FFT Spectrum และ Time waveform เพื่อนำมาวิเคราะห์อย่างละเอียดในซอฟแวร์บนคอมพิวเตอร์ การวิเคราะห์ความสั่นสะเทือนได้อย่างแม่นยำ จะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ลดการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อนหรือการซ่อมบำรุงอย่างไม่รู้จบ
หากโรงงานได้ใช้เครื่องวัดความสั่นสะเทือนเพื่อตรวจสอบและซ่อมบำรุงต่อเนื่อง ก็จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น ค่าอะไหล่ ค่าแรงทีมงานช่างซ่อม และรายได้ที่อาจเสียไปในช่วง Shutdown เพื่อซ่อมบำรุง หมดกังวลเรื่องการเสียเงินก้อนใหญ่หรือเสียโอกาสในการทำกำไรไปได้เลย
ทั้งหมดนี้ก็เป็นความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ “เครื่องวัดความสั่นสะเทือน” ที่เป็นกุญแจสำคัญอันดับต้นๆ ของธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรม ในการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับเครื่องจักร ซึ่งอาจนำมาสู่ความเสียหายและการขาดทุนได้
ฉะนั้นเจ้าของธุรกิจโรงงานจึงควรเลือกใช้เครื่องวัดความสั่นสะเทือนที่มีคุณภาพได้มาตรฐานจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการเท่านั้น
สินค้า SPM เครื่องวัดความสั่นสะเทือนจาก P&A Technology
หากคุณมีความสนใจหรือต้องการเครื่องวัดความสั่นสะเทือน (Vibration Analyzer) คุณภาพสูง ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ ที่ PAT (P&A Technology) เราพร้อมจำหน่ายเครื่องวัดความสั่นสะเทือนจากแบรนด์ SPM (SPM Instrument) ซึ่งเป็นแบรนด์เดียวในโลกที่มีการวิเคราะห์ “Shock Pluse” สามารถตรวจจับสัญญาณความผิดปกติของ Bearing และ Gearbox ในเครื่องจักรรอบต่ำได้ดีกว่าการอาศัยสัญญาณการสั่นสะเทือนทั่วไป
พวกเรา P&A Technology มุ่งมั่นเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ด้านวิศวกรรมที่มีคุณภาพ ที่เป็นที่ยอมรับจากทั่วทุกมุมโลก ประกอบกับประสบการณ์มากกว่า 25 ปี เพื่อตอบสนองความต้องการต่างๆ ของลูกค้าด้านวิศวกรรมอย่างครบวงจร
ติดต่อสอบถาม สั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทาง
โทร.: 02-454-2478
Email: info@pat.co.th
LINE OA: https://lin.ee/4FaAArm0d
ติดตามข่าวสารและโปรโมชันใหม่ๆ จากเราก่อนใคร
Facebook: P&A Technology Company Limited
Instagram: pandatech_officia
อุณหภูมิเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเสมอ และถูกนำมาวัดค่าเพื่อใช้งานในหลากหลายด้าน อาทิ วัดสภาพอากาศในแต่ละวันว่าร้อนหรือหนาว วัดอุณหภูมิของร่างกายว่ามีไข้ขึ้นหรือไม่ การปรุงอาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย โดยมีการใช้อุปกรณ์ เช่น ปรอทวัดไข้ หรือเครื่องวัดอุณหภูมิดิจิทัลที่แสดงค่าเป็นตัวเลข แต่หากเป็นในภาคอุตสาหกรรม หรืองานบางประเภทที่ต้องอาศัยความแม่นยำในการตรวจวัดอุณหภูมิ แน่นอนว่า ต้องมีการใช้งานอุปกรณ์ที่มีความแม่นยำและมีฟังก์ชันมากกว่าอย่าง “กล้องถ่ายภาพความร้อน” หรือ “Thermal Camera” นั่นเอง
วันนี้ PAT จะแนะนำให้รู้จักกับกล้องถ่ายภาพความร้อน พร้อมแนะนำสิ่งที่ต้องคำนึงในการเลือกซื้อกล้องถ่ายภาพความร้อน ให้คุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด
กล้องถ่ายภาพความร้อน (Thermal Camera หรือ Thermoscan) คือ กล้องที่มีความสามารถในการวัดค่าอุณหภูมิบนพื้นผิวของวัตถุต่างๆ โดยอาศัยการตรวจจับ “รังสีอินฟราเรด (Infrared Radiation หรือ IR)” ที่แผ่ออกมา ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และแสดงภาพถ่ายออกมาเป็นแถบสี (Palette) ที่บ่งบอกค่าอุณหภูมิต่างๆ นั่นเอง
การตรวจวัดอุณหภูมิของวัตถุผ่านกล้องถ่ายภาพความร้อน เป็นวิธีการวัดแบบไม่สัมผัสและไม่ทำลายวัตถุ อีกทั้งยังสามารถตรวจวัดความร้อนในพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ หรือในพื้นที่ที่มีอันตรายในการเข้าเพื่อตรวจวัด จึงได้กลายมาเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ถูกใช้งานในหลายภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบัน
ด้วยความสามารถของกล้องถ่ายภาพความร้อน จึงทำให้อุปกรณ์นี้ถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์หลากหลาย เหมาะสำหรับทุกการใช้งานที่ต้องการวัดค่าอุณหภูมิโดยไม่ต้องสัมผัสวัตถุ เช่น
เห็นได้ว่ากล้องถ่ายภาพความร้อนเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์หลายด้าน ช่วยลดความเสี่ยงของผู้ปฏิบัติงาน วัดอุณหภูมิได้แม่นยำ อีกทั้งยังบันทึกเป็นภาพถ่ายได้ เพื่อเก็บรวบรวมเป็นข้อมูลในการดำเนินงานด้านต่างๆ ได้ด้วย
ปัจจุบัน มีกล้องถ่ายภาพความร้อนหลายยี่ห้อ หลายรุ่น ตั้งแต่ราคาย่อมเยาไปจนถึงราคาสูง การเลือกให้ถูกต้องและเหมาะสมจึงต้องมีข้อควรคำนึง พร้อมรู้ถึงเทคนิคการเลือกใช้งานกล้องถ่ายภาพความร้อน ดังนี้
วัตถุแต่ละชนิดมีค่า Emissivity หรือความสามารถในการสะท้อนรังสีอินฟาเรดแตกต่างกันไป โดยทั่วไป เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดทั่วไปจะถูกตั้งค่า Emissivity ไว้ที่ 0.95 (ค่ามาตรฐาน) ซึ่งผู้ใช้งานควรทราบและพิจารณาว่าวัตถุต้องการวัดอุณหภูมิมีค่า Emissivity อยู่ที่เท่าไหร่ แล้วกล้องถ่ายภาพความร้อนสามารถวัดค่านั้นๆ ได้หรือไม่ นอกจากนี้ อาจมีกล้องถ่ายภาพความร้อนบางรุ่นที่สามารถเปลี่ยนค่าการวัด Emissivity ได้ ซึ่งจะให้ความแม่นยำในการวัดได้มากขึ้น
ยิ่งกล้องถ่ายภาพความร้อนมีความละเอียดสูงมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ได้ภาพความร้อนที่มีคุณภาพ และวัดค่าอุณหภูมิได้แม่นยำขึ้นไปด้วย แต่ก็อาจมีราคาที่สูงเช่นกัน หากต้องการประหยัดงบประมาณ สามารถเลือกกล้องที่มีความละเอียดต่ำได้ แต่ไม่ควรต่ำเกินไปจนทำให้เกิดข้อผิดพลาด (Error) จากการวัด
กล้องถ่ายภาพความร้อนแต่ละรุ่นจะมีค่า Geometric Resolution (IFOV) ที่ไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นค่าที่บ่งบอกว่า ตัวกล้องสามารถระบุวัตถุได้แม่นยำในระยะไกลเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่น หากมีการระบุค่า IFOV ไว้ที่ 1.7 mRad (milliRadians) นั่นหมายความว่า กล้องตัวดังกล่าวสามารถระบุวัตถุขนาดเล็กที่สุด 1.7 มิลลิเมตร ได้ที่ระยะ 1 เมตร
ความสามารถในการปรับโฟกัสของเลนส์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องพิจารณา หากกล้องสามารถปรับโฟกัสแบบ Manual หรือ Auto ได้ ก็จะช่วยให้สามารถจับภาพความร้อนที่ชัดเจนได้ แต่ถ้าเป็นกล้องแบบ Fix Focus ก็ควรถ่ายในระยะที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ภาพออกมาคมชัดที่สุด เพราะหากภาพถ่ายที่ได้ไม่มีความคมชัด เบลอ จะส่งผลให้การวัดค่าและการวิเคราะห์ภาพความร้อนไม่มีประสิทธิภาพ
ค่า Thermal Sensitivity หรือ NETD (Noise Equivalent Temperature Difference) บ่งบอกความไวต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ หรือความแตกต่างของอุณหภูมิที่น้อยที่สุดที่สามารถมองเห็นได้โดยกล้องถ่ายภาพความร้อน เช่น หากกล้องมีค่า NETD อยู่ที่ < 50 mK หมายความว่าเมื่อมีอุณหภูมิน้อยกว่าเพียง 0.05°C ก็จะแสดงผลเป็นเฉดสีที่แตกต่างกันได้ ซึ่งยิ่งค่า NETD น้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความแม่นยำในการระบุความแตกต่างของอุณหภูมิมากเท่านั้น
กล้องวัดความร้อนจะแสดงผลอุณหภูมิเป็นแถบสี ซึ่งบางรุ่นอาจมีเพียงแถบสีเดียว บางรุ่นอาจสามารถแสดงได้หลายแถบสี เช่น แถบสี Iron ที่เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปหรือการตรวจสอบโครงสร้าง แถบสี Rainbow ที่เหมาะสำหรับตรวจวัดวัตถุที่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิไม่มาก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีแถบสีแบบ Artic, White Hot และ Black Hot ที่เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต่างกันไปอีกด้วย
การเลือกกล้องถ่ายภาพความร้อนที่มาพร้อมกับโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ (Software) ที่ใช้งานง่าย ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญเนื่องจาก ผู้ปฏิบัติงานจำเป็นต้องวิเคราะห์ภาพความร้อนด้วยโปรแกรมก่อนที่จะรายงานผลการตรวจวัด หากโปรแกรมมีความซับซ้อน ใช้งานยาก ก็จะเป็นการเพิ่มภาระให้ผู้ใช้งาน ทำให้การดำเนินงานล่าช้าได้นั่นเอง
ในประเภทงานอย่างการซ่อมบำรุงเครื่องจักร ที่มักมีจุดในการตรวจวัดหลายๆ จุด จำเป็นต้องพิจารณาอายุการใช้งานแบตเตอรี่ในการชาร์จแต่ละครั้งด้วยว่าแบตเตอรี่ที่ใส่เข้าไปนั้นสามารถใช้งานได้นานเท่าไหร่ เพื่อให้การดำเนินงานต่อเนื่องและไม่เกิดปัญหาอย่างการบันทึกข้อมูลไม่สมบูรณ์ตามมาในภายหลัง
ผู้ซื้อควรพิจารณาเปรียบเทียบราคาและกล้องถ่ายภาพความร้อนต่างๆ ที่ได้ว่ามีรายการอะไรบ้าง มีฟังก์ชันอะไรบ้าง เหมาะสมกับการใช้งานหรือเปล่า และเป็นราคาที่คุ้มค่ากับคุณสมบัติที่กล้องนั้นๆ มีหรือไม่ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด
กล้องถ่ายภาพความร้อนเป็นอุปกรณ์เฉพาะทาง ดังนั้นก่อนจะเลือกซื้อ ก็ควรแน่ใจก่อนว่าตัวแทนจำหน่ายที่ติดต่อนั้นมีความเชี่ยวชาญจริง สามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมและตรงต่อจุดประสงค์ในการใช้งานอุปกรณ์ได้
ทั้งหมดนี้ก็ล้วนเป็นข้อควรคำนึงสำคัญที่ควรนำไปพิจารณาให้ดีก่อนจะตัดสินใจ เพื่อให้ได้พบกับความคุ้มค่ามากที่สุด และหากคุณกำลังต้องการซื้อกล้องถ่ายภาพความร้อน ที่ราคาเหมาะสม มีคุณภาพ ได้มาตรฐานสากล และตอบโจทย์งานวิศวกรซ่อมบำรุงและช่างเทคนิคได้อย่างดีเยี่ยม สามารถเข้ามาสอบถามพูดคุยและรับคำปรึกษากับ P&A Technology ได้ตามรายละเอียดด้านล่าง
ติดต่อสอบถาม สั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทาง
โทร.: 02-454-2478
Email: info@pat.co.th
LINE OA: https://lin.ee/4FaAArm0d
ติดตามข่าวสารและโปรโมชันใหม่ๆ จากเราก่อนใคร
Facebook: P&A Technology Company Limited
Instagram: pandatech_official
การดำเนินงานในภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การก่อสร้าง การซ่อมบำรุง หรือด้านอื่นๆ นอกจากทักษะความเชี่ยวชาญของผู้ปฏิบัติงานแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ขาดไปไม่ได้ก็คือ “เครื่องมือวัดอุตสาหกรรม” ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นของคู่กันเลยทีเดียว เพราะเครื่องมือวัดต่างๆ นั้นสามารถช่วยให้การดำเนินงานหรือการผลิตชิ้นงานมีความละเอียด สามารถระบุค่าได้ เพื่อสร้างมาตรฐานและคุณภาพที่สม่ำเสมอ ซึ่งเครื่องมือวัดอุตสาหกรรมนั้นมีหลากหลายประเภท ถูกออกแบบมาเพื่อวัดหรือตรวจสอบค่าหรือปริมาณทางฟิสิกส์ที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิ ความดัน ระดับของเหลว ค่าทางเคมี ระดับการสั่นสะเทือน และอื่นๆ อีกมากมาย
แน่นอนว่าการวัดค่าต่างๆ เหล่านี้ย่อมต้องอาศัยเครื่องมือที่มีคุณภาพ ผ่านการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถระบุค่าต่างๆ ได้แม่นยำ และตอบโจทย์การใช้งานที่มีความเฉพาะเจาะจงได้ เชื่อว่าใครๆ ก็ต้องการที่จะซื้อเครื่องมือวัดอุตสาหกรรมได้แบบครบ จบในที่เดียว อย่าง PAT หรือ P&A Technology ที่พร้อมจัดจำหน่ายเครื่องมือวัดอุตสาหกรรมคุณภาพสูง และให้บริการอย่างครบครัน
การเลือกใช้เครื่องมือวัด ไม่ว่าจะเป็นประเภทไหนก็ตาม ต้องคำนึงถึงเรื่องคุณภาพเป็นหลัก แม้เครื่องมือวัดต่างๆ จะสามารถหาได้ทั่วไป แต่ก็ไม่มีการรับประกันว่าจะให้ผลการวัดหรือการวิเคราะห์ที่แม่นยำ บางครั้งอาจจะเกิดความคลาดเคลื่อน ผลวัดที่ไม่แน่นอน หรือแสดงตัวเลขผิดพลาด ซึ่งล้วนส่งผลต่อการดำเนินงานในขั้นตอนไปอย่างมาก ดังนั้นผู้ที่มีธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมจึงควรเลือกใช้เครื่องมือวัดที่แม่นยำจากผู้จัดจำหน่ายที่เชื่อถือได้ เพื่อควบคุมคุณภาพของชิ้นงาน ประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่าย และสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงาน
PAT คือ หนึ่งในบริษัทวิศวกรชั้นนำของประเทศไทย ที่มุ่งเน้นในการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์และเชิงรุกในภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงอุปกรณ์ด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดย P&A Technology (พี แอนด์ เอ เทคโนโลยี) มีจุดเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2538 ในฐานะตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เชื่อถือได้ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง จากความเชี่ยวชาญทางด้านการบำรุงรักษาเครื่องมืออุตสาหกรรม พร้อมช่วยลูกค้าหาทางออกที่ดีที่สุด จนได้ต่อยอดเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือเกี่ยวกับการบำรุงรักษา เครื่องมือวัดอุตสาหกรรมจากแบรนด์สากลที่ได้รับการยอมรับในหลากหลายประเทศทั่วโลกมานานกว่า 25 ปี
อีกทั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าของเราจะได้รับการบริการที่มีคุณภาพสูงและต่อเนื่อง เราจึงได้จัดตั้งบริษัท ซีบีเอ็มเอส จำกัด ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการที่หลากหลาย อาทิ บริการนอกสถานที่ บริการให้เช่า และบริการหลังการขาย พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของเครื่องมือต่างๆ ที่มีต่อธุรกิจของลูกค้า
PAT จัดจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือวัดอุตสาหกรรมที่หลากหลาย โดยในบทความนี้จะยกตัวอย่างมาให้ได้รู้จักกันทั้งหมด 4 ชนิด คือ เครื่องวัดความสั่นสะเทือน เครื่องตั้งศูนย์เพลาด้วยเลเซอร์ กล้องถ่ายภาพความร้อน และเครื่องวิเคราะห์น้ำมัน
เครื่องจักรหรือมอเตอร์ในโรงงานอุตสาหกรรมทุกชนิด จะมีค่าความสั่นที่บ่งบอกถึงสภาพเครื่องจักร หากค่าความสั่นสะเทือนดังกล่าวสูงเกินไปหรือน้อยเกินไป นั่นหมายความว่ากำลังเกิดความผิดปกติกับเครื่องจักรนั้นๆ ดังนั้นเครื่องวัดความสั่นสะเทือนจึงเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่เหมาะสำหรับการใช้งานเพื่อตรวจสอบปัญหาอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถวางแผนการซ่อมบำรุงได้ล่วงหน้า มีประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
โดย PAT เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายเครื่องวัดความสั่นสะเทือนจากแบรนด์ SPM (SPM Instrument) อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นแบรนด์เดียวในโลกที่มีการวิเคราะห์ “Shock Pulse” สามารถตรวจจับสัญญาณความผิดปกติของ Bearing และ Gearbox ในเครื่องจักรรอบต่ำได้ดีกว่าการอาศัยสัญญาณการสั่นสะเทือนทั่วไป
การเยื้องศูนย์ของเพลาที่เกิดจากการปรับตั้ง Aligment ไม่ถูกต้อง หรือเกินค่าพิกัดตามมาตรฐาน สามารถส่งผลให้เครื่องจักรหยุดทำงานอย่างกะทันหัน และส่งผลให้ชิ้นส่วนและอะไหล่ต่างๆ รวมไปถึงตัวเครื่องจักรเกิดความเสียหาย แบริ่งเสียเร็วกว่ากำหนด ซีลชำรุด หรือทำให้เกิดน้ำมันรั่ว เป็นต้น การตั้งศูนย์เพลาที่แม่นยำจึงสำคัญในการบำรุงรักษา และช่วยให้เครื่องจักรเพลาหมุนจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจโรงงานเดินเครื่องจักรได้เต็มประสิทธิภาพ PAT จึงได้จำหน่ายเครื่องมือตั้งศูนย์เพลาคุณภาพสูงจากแบรนด์ Easy-Laser เช่น XT440 ที่เหมาะสำหรับทุกขั้นตอนการตั้งศูนย์เพลา หรือจะเป็น XT660 สำหรับตั้งศูนย์เพลาเครื่องจักรขนาดใหญ่ด้วยความแม่นยำสูง และมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานหลากหลาย ตอบโจทย์การใช้งานตั้งศูนย์เพลาแบบรอบด้าน
กล้องถ่ายภาพความร้อนมีความสามารถในการตรวจจับอุณหภูมิบนพื้นผิวของวัตถุต่างๆ โดยอาศัยการตรวจจับ “รังสีอินฟราเรด (Infrared Radiation หรือ IR)” ที่แผ่ออกมา จึงช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องจักร ระบบไฟฟ้า ตู้ไฟ เสาไฟฟ้า มอเตอร์ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ รวมไปถึงตรวจสอบคุณภาพของฉนวนความร้อนหรือความเย็นได้อีกด้วย
PAT จัดจำหน่ายกล้องถ่ายภาพความร้อนจากแบรนด์ SATIR หนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาและผลิตกล้องถ่ายภาพความร้อนทั้งสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมและการใช้งานเชิงพาณิชย์ ซึ่งเรามีจำหน่ายทั้งรุ่น SATIR D300, SATIR D600, SATIR Hotfind-S สำหรับการตรวจวัดอุณหภูมิในงานต่างๆ สามารถจับภาพคุณภาพสูงและมีซอฟต์แวร์ที่ใช้งานง่าย พร้อมฟังก์ชันอื่นๆ อีกมากมาย
หนึ่งในสาเหตุที่ส่งผลให้เครื่องจักรทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ คือ การเสื่อมสภาพทางเคมีหรือสารหล่อลื่นภายในของเครื่องจักรเสื่อมสภาพ ทำให้เกิดการกัดกร่อน ส่งผลให้เครื่องจักรเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร ดังนั้นการตรวจวิเคราะห์น้ำมันของเครื่องจักรด้วย Oil Quality Sensor จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการซ่อมบำรุงเครื่องจักรได้ดียิ่งขึ้น
ที่ P&A เรามี Oil Quality Sensor จาก Poseidon System แบรนด์ชั้นนำในโซลูชันการตรวจสอบสภาพเครื่องจักร (Condition Monitoring Solutions) ที่ผลิตเครื่องวิเคราะห์น้ำมันในราคาที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม อย่าง TRIDENT QM3100, TRIDENT QW3100 และ TRIDENT WM800 ผ่านการออกแบบจากทางวิศวกรรมขั้นสูงและใช้สเตนเลสสตีลคุณภาพดี สามารถทำให้การตรวจสอบคุณภาพของมันน้ำหล่อลื่น แสดงผลได้แบบเรียลไทม์ และมีความแม่นยำสูง สามารถบอกความผิดปกติของเครื่องจักรตั้งแต่ระดับเริ่มต้น จึงทำให้โรงงานมีเวลาวางแผนการซ่อมบำรุงได้นานและครอบคลุมยิ่งขึ้น
เครื่องมือวัดอุตสาหกรรมที่ได้แนะนำไปทั้งหมดนั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ PAT จัดจำหน่าย ซึ่งยังมีเครื่องมือและอุปกรณ์อีกมากมาย ที่พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างรอบด้าน หากคุณต้องการเครื่องมือวัดอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพได้มาตรฐานสากลในราคาเหมาะสม และตอบโจทย์งานวิศวกรซ่อมบำรุงและช่างเทคนิค สามารถเข้ามาสอบถาม พูดคุย และขอรับคำปรึกษากับ P&A Technology ได้ตามรายละเอียดด้านล่าง
ติดต่อสอบถาม สั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทาง
โทร.: 02-454-2478
Email: info@pat.co.th
LINE OA: https://lin.ee/4FaAArm0d
ติดตามข่าวสารและโปรโมชันใหม่ๆ จากเราก่อนใคร
Facebook: P&A Technology Company Limited
Instagram: pandatech_official
Subscribe our newsletter to receive the latest news and exclusive offers
Copyright В� 2020 P&A Technology Company Limited.All Rights Reserved.